The Empire
กว่าสองพันปีมาแล้วที่จักรวรดิได้ก่อตั้งและทำสงครามกับกองทัพมืด
ที่ครอบคลุมอยู่ทั่วแผ่นดินที่รู้จักกันในนาม โอลเวริด ฝ่ายจักรวรรดิ
ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากเกิดมาจากการรวมตัวของเมืองต่างๆของมนุษย์
แต่ดินแดนของพวกเขายังคงไม่ปลอดภัย มีภัยอันตรายมากมายรายล้อมดินแดนพวกเขา
ที่ต้องการทำลายล้างจักรวรรดิให้สิ้นมากกว่าสิ่งใด
แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงต่อกรและชนะมาได้ทุกครั้งที่ทำสงคราม
พวกเขาเหล่านี้แข็งแกร่ง กองทัพของพวกเขายิ่งใหญ่กล้าหาญ และมีระเบียบวินัย ถือดาบ
หอก และเกราะหนา อีกทั้งยังมีพลังอำนาจของจอมเวทย์สงคราม
ที่คอยปกป้องพวกเขาในสนามรบอีกด้วย พวกเขาพร้อมแล้วที่จะแผ่อำนาจออกไปไกลครอบคลุมทั่ว
โอลเวิร์ด
ผู้นำฝ่าย Empire
-
Emperor Kral Franz
เจ้าชายแห่งอัลดรอฟและทายาทแห่งเรกแลนด์
เขาผู้นี้เป็นกษัติย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโอลเวริด์
มีความอัจฉริยะทางการทหารและผู้นำ บ่อยครั้งที่เขานำทัพทหารของตนเองลงสนามรบ
ควงค้อนศักดิ์สิทธิ์ Ghal Maraz ค้อนในตำนานของซิกม่า
ดั่งเทพเจ้านักรบในตำนาน Kral
Franz มีอาชาคู่ใจคือ Deathclaw
เป็นกริฟฟอนที่มีพละกำลังสูงที่สุดในหมู่กริฟฟอนที่เคยมีมา
ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคนและอสูรร้ายที่โยบินได่ประสานกัน ต่อกรฟาดฟันศัตรุล้มตายนับไม่ถ้วน
สนามรบต่อสนามรบ ในระหว่างการศึก
Blood Keep นั้น Deathclaw
เข้าปกป้องกษัติย์ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่นานสามชั่วโมง
สังหารผู้ที่หวังจะเข้ามาทำร้ายนายของมัน จนกระทั่งเหล่าทหารหาทางเข้ามาช่วยได้ทันเวลา
-
Balthasar Gelt
เขาเป็นผู้คนพบสูตรผสมของดินปืน
ทำให้ในโลกนี้เขาเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะในมหาลัยของจักรพรรดิ
ที่มักจะมีกฎข้อห้ามในศาตร์เวทย์ และมนต์ดำต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่งในการเรียนของเขาได้เกิดการระเบิดขึ้น
เกือบทำให้เขาได้เสียชีวิตไป แต่กระนั้นเขาก็ยังมีชีวิตรอด
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาได้ใส่หน้ากากโลหะที่เปร่งแสงสะท้อนแสงแวววาว
และชุดที่เต็มไปด้วยวัสดุที่ทำจากโลหะ
บ้างกล่าวว่าภายในร่างกายของเขานั้นกลายเป็นทองไปหมดทั้งตัว
และบ้างอีกที่กล่าวว่าในตัวเขานั้นเน่าเฟะ และน่ารังเกลียด
ไม่มีใครมีวันได้รู้ความจริง นอกจากตัวเขาเองที่ไม่ยอมเปิดปาดพูดถึงเรื่องนี้กับใคร
ด้วยอุบัติเหตุนั้นทำให้เขาได้รับพลังที่สูงส่ง เขาได้ประลองกับ Thrus Gormann
ในสนามประลองเวทย์ และได้ชัยชนะในที่สุดและ Balthasar ได้กลายเป็นผู้สูงส่งที่สุดในมหาลัยเวทย์มนต์
และได้เปลี่ยนให้ความสำคัญของศาสตร์ของเหล็กไหล มาแทนศาสตร์แห่งไฟดั่งเดิม
คนแคระเป็นพวกที่หยิ่งยโส ที่มาพร้อมอารมณ์ที่รุนแรง และหลงไหลในเพชรพลอย เงิน ทอง และแร่ต่างๆ พวกเขาตัวเล็ก สูงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ แต่มีแขนที่ทรงพลัง คนแคระเป็นจ้าวแห่งประดิษ์ เป็นนักสร้าง นักหลอม พวกเขามองสิงประดิษ์ของเผ่าพันธ์ อื่นๆนั้นด้อยกว่าพวกเขาเสมอ พวกเขามีคำเรียกสิ่งนั้นว่า Umgak อีกด้วย นั้นความหมายมันก็คือ กระจอก นั่นเอง ความรู้ส่วนมาอกของพวกเขานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากภาพแกะสลักสมัยโบราณที่เป็นของสืบทอดบนผู้เขาที่สุดขอบโลกของพวกเขา พวกเขาสร้างเมืองและป้อมปราการที่ยิงใหญ่ใต้ดิน ยิ่งพวกเขาขุดลึกเท่าใด พวกเขายิ่งสร้างอาวุธมากเท่านั้นเพราะใต้ดินเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมายที่พร้อมจะให้พวกเขาถลุงมาใช้งาน
หลังจากพวกเขาได้สร้าง Dwarfhold บนยอดเขาสุดขอบโลก เมืองของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองมากได้หลายรุ่นต่อรุ่น แต่จนกระทั้งมาถึงสงคราม War of The Beard ที่เป็นสงครามแตกแยกระหว่างคนแคระ และพวกเฮล์ฟ
การเล่นฝ่าย Empire
- ฝ่ายจักรวรรดิ์นั้นจะเหมือนการเล่นเกมในซีรีย์ Toltal War ทั่วไป พวกเขาเน้นการทูตเป็นสำคัญ และช่วงท้ายเกมจะต้องต่อกรกับเหล่า เคออส ที่เดินทางมาทำลายล้างโลก โอลเวิร์ด
- ความสมดุลของกองทัพมีให้เลือกได้ตามสถานะการณ์ มียูนิทที่มีข้อดี ข้อด้อยอย่างเด่นชัด และพร้อมปรับตัวได้เสมอในสนามรบ เพียงแต่คุณต้องใช้ให้ถูกทางเท่านั้นเอง
- คุณจะต้องเจอกับศัตรุรอบด้านทั้งทาง เหนือ ใต้ ออก ตก
คนแคระเป็นพวกที่หยิ่งยโส ที่มาพร้อมอารมณ์ที่รุนแรง และหลงไหลในเพชรพลอย เงิน ทอง และแร่ต่างๆ พวกเขาตัวเล็ก สูงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ แต่มีแขนที่ทรงพลัง คนแคระเป็นจ้าวแห่งประดิษ์ เป็นนักสร้าง นักหลอม พวกเขามองสิงประดิษ์ของเผ่าพันธ์ อื่นๆนั้นด้อยกว่าพวกเขาเสมอ พวกเขามีคำเรียกสิ่งนั้นว่า Umgak อีกด้วย นั้นความหมายมันก็คือ กระจอก นั่นเอง ความรู้ส่วนมาอกของพวกเขานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากภาพแกะสลักสมัยโบราณที่เป็นของสืบทอดบนผู้เขาที่สุดขอบโลกของพวกเขา พวกเขาสร้างเมืองและป้อมปราการที่ยิงใหญ่ใต้ดิน ยิ่งพวกเขาขุดลึกเท่าใด พวกเขายิ่งสร้างอาวุธมากเท่านั้นเพราะใต้ดินเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมายที่พร้อมจะให้พวกเขาถลุงมาใช้งาน
หลังจากพวกเขาได้สร้าง Dwarfhold บนยอดเขาสุดขอบโลก เมืองของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองมากได้หลายรุ่นต่อรุ่น แต่จนกระทั้งมาถึงสงคราม War of The Beard ที่เป็นสงครามแตกแยกระหว่างคนแคระ และพวกเฮล์ฟ
s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น